ในยุคที่ความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ การเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกลายเป็นปัจจัยที่ธุรกิจไม่อาจมองข้าม “บรรจุภัณฑ์จากเยื่อไม้และกระดาษ” เป็นหนึ่งในทางเลือกที่โดดเด่น เนื่องจากเป็นวัสดุจากธรรมชาติ ย่อยสลายได้ และสามารถนำไปรีไซเคิลได้
การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและสร้างความได้เปรียบทางการตลาดได้อีกด้วย
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์จากเยื่อไม้และกระดาษ ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ วัตถุดิบ กระบวนการผลิต ไปจนถึงการนำไปใช้งานในปัจจุบัน
หัวข้อย่อยมีอะไรบ้าง ?
บรรจุภัณฑ์เยื่อไม้และกระดาษ คืออะไร ?
บรรจุภัณฑ์เยื่อไม้และกระดาษ หมายถึง บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นโดยมีเยื่อไม้ (Wood Pulp) หรือเยื่อจากพืชชนิดอื่นๆ และกระดาษ เป็นวัตถุดิบหลัก บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ทดแทนบรรจุภัณฑ์แบบดั้งเดิมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติก หรือโฟม ซึ่งย่อยสลายได้ยากและมักก่อให้เกิดปัญหามลพิษและขยะสะสม
จุดเด่นสำคัญของบรรจุภัณฑ์จากเยื่อไม้และกระดาษคือ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และนำกลับไปรีไซเคิลเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ ช่วยลดปริมาณขยะและผลกระทบต่อระบบนิเวศ ขณะเดียวกันก็ยังคงคุณสมบัติในการปกป้องสินค้า มีความแข็งแรง และสามารถออกแบบให้สวยงามได้ ตอบโจทย์ทั้งด้านประโยชน์ใช้สอยและความยั่งยืน
วัตถุดิบสำคัญในการผลิตเยื่อและกระดาษ
หัวใจหลักของการผลิตกระดาษคือ “เยื่อ” (Pulp) ซึ่งเป็นมวลของเส้นใยเซลลูโลสที่สกัดมาจากพืช วัตถุดิบที่นิยมนำมาใช้ผลิตเยื่อสำหรับอุตสาหกรรมกระดาษและบรรจุภัณฑ์ ได้แก่
- ไม้ (Wood) : เป็นวัตถุดิบหลักและสำคัญที่สุด แบ่งเป็น
- ไม้เนื้ออ่อน (Softwood) เช่น ไม้สน ให้เส้นใยยาว (เฉลี่ย 3-4 มม.) ซึ่งมีความแข็งแรงและเหนียว เหมาะสำหรับผลิตกระดาษที่ต้องการความทนทานสูง
- ไม้เนื้อแข็ง (Hardwood) เช่น ไม้ยูคาลิปตัส ให้เส้นใยสั้น (เฉลี่ย 1-1.5 มม.) ทำให้เนื้อกระดาษเรียบเนียน เหมาะสำหรับงานพิมพ์
- พืชล้มลุกและพืชเส้นใยอื่นๆ
- พืชตระกูลหญ้า : ไผ่, ชานอ้อย, ฟางข้าว, ข้าวโพด, ข้าวสาลี (ชานอ้อยเป็นวัตถุดิบสำคัญในไทย)
- พืชให้เส้นใยจากลำต้น/เปลือก : ปอสา, ป่าน, ลินิน, กระเจี๊ยบ
- พืชให้เส้นใยจากใบ/กาบ : กล้วย, สับปะรด
- พืชให้เส้นใยจากเมล็ด : ฝ้าย, นุ่น
- กระดาษใช้แล้ว (Recycled Paper) : เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตกระดาษรีไซเคิล ช่วยลดต้นทุน ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และลดปริมาณขยะ
คุณภาพและลักษณะของเส้นใยจากวัตถุดิบแต่ละชนิด จะส่งผลต่อคุณสมบัติของเยื่อและกระดาษที่ได้แตกต่างกันไป
โครงสร้างอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ
อุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษสามารถแบ่งตามกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ได้เป็น 3 ระดับหลัก

- อุตสาหกรรมขั้นต้น (Primary Industry) : เน้นการผลิต เยื่อกระดาษ (Pulp) ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้น อาจรวมถึงการปลูกป่าเชิงพาณิชย์เพื่อเป็นวัตถุดิบด้วย เยื่อที่ได้จะถูกส่งต่อไปยังอุตสาหกรรมขั้นกลาง
- อุตสาหกรรมขั้นกลาง (Intermediate Industry) : นำเยื่อกระดาษมาผลิตเป็น กระดาษม้วน หรือกระดาษแผ่นใหญ่ ในรูปแบบต่างๆ เช่น กระดาษคราฟท์, กระดาษพิมพ์เขียน, กระดาษอนามัย, กระดาษหนังสือพิมพ์
- อุตสาหกรรมขั้นปลาย (Converting Industry) : นำกระดาษที่ผลิตได้จากขั้นกลาง มาแปรรูป (Converting) เป็น ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ต่างๆ เช่น กล่องกระดาษลูกฟูก, กล่องกระดาษแข็ง, ถุงกระดาษ, บรรจุภัณฑ์อาหาร, สมุด, หนังสือ เป็นต้น เป็นขั้นที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดและเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้บริโภค
กระบวนการผลิตเยื่อและกระดาษในอุตสาหกรรม
การผลิตกระดาษในระดับอุตสาหกรรมมี 2 แนวทางหลัก คือ การผลิตจากเยื่อใหม่ (Virgin Pulp) และการผลิตจากกระดาษรีไซเคิล โดยมีกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ (Pulping) ที่สำคัญดังนี้ (กรณีผลิตจากไม้)
- การเตรียมวัตถุดิบ (Wood Preparation) : นำท่อนไม้มาลอกเปลือกออก (Debarking) แล้วสับเป็นชิ้นเล็กๆ (Chipping) เพื่อให้ง่ายต่อการต้ม
- การต้มเยื่อ (Pulping/Cooking) : นำชิ้นไม้ไปต้มในถังขนาดใหญ่พร้อมสารเคมี (เช่น กระบวนการคราฟท์ ใช้สารกลุ่มซัลเฟต) และความร้อนสูง เพื่อละลายลิกนินและแยกเส้นใยเซลลูโลสออกมา
- การคัดแยกและล้างเยื่อ (Screening & Washing) : คัดแยกสิ่งปนเปื้อน (เช่น เศษไม้ที่ไม่ย่อย) ออกจากเยื่อ แล้วล้างเยื่อเพื่อกำจัดสารเคมีและลิกนินที่ละลายออกมา (ได้ผลพลอยได้คือน้ำดำ ซึ่งนำไปผลิตพลังงานได้)
- การฟอกสี (Bleaching – หากต้องการกระดาษขาว) : นำเยื่อที่ยังคงมีสีน้ำตาลไปผ่านกระบวนการฟอกเพื่อกำจัดลิกนินส่วนที่เหลือและทำให้เยื่อขาวขึ้น (นิยมใช้กระบวนการฟอกที่ไม่ใช้คลอรีน หรือ ECF/TCF เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม)
- การทำความสะอาดขั้นสุดท้าย : อาจมีการทำความสะอาดเยื่ออีกครั้งเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกขนาดเล็ก
หลังจากได้เยื่อที่พร้อมใช้งานแล้ว จะเข้าสู่ กระบวนการผลิตกระดาษ ซึ่งเป็นการนำเยื่อไปผสมน้ำในอัตราส่วนที่เหมาะสม แล้วนำไปขึ้นรูปเป็นแผ่นบนเครื่องผลิตกระดาษ โดยรีดน้ำออก กดทับ และอบแห้ง จนได้เป็นม้วนกระดาษขนาดใหญ่ ก่อนนำไปตัดแบ่งหรือแปรรูปต่อไป
ส่วน การผลิตจากกระดาษรีไซเคิล จะมีกระบวนการคล้ายกัน แต่เริ่มต้นจากการนำกระดาษใช้แล้วมาตีป่นในน้ำ (Pulping) กรองสิ่งสกปรก และอาจมีขั้นตอนกำจัดหมึก (De-inking) ก่อนนำเยื่อไปผลิตเป็นกระดาษใหม่ ซึ่งมักใช้พลังงานและน้ำน้อยกว่าการผลิตจากเยื่อใหม่
ความสำคัญและบทบาทของบรรจุภัณฑ์เยื่อไม้และกระดาษในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์จากเยื่อไม้และกระดาษมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจาก
- เป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : ตอบสนองกระแสรักษ์โลก ลดการใช้พลาสติกและโฟม
- มีความหลากหลาย : สามารถผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ได้หลายรูปแบบ ทั้งกล่อง, ถุง, จาน, ชาม, แก้ว, ถาด, วัสดุกันกระแทก
- รองรับนวัตกรรม : มีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เช่น การเคลือบสารกันน้ำ/ไขมันที่ย่อยสลายได้, การออกแบบโครงสร้างให้แข็งแรงขึ้น, การผลิตเยื่อจากพืชที่ไม่ใช่ไม้
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดี : การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูทันสมัยและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
- สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน : การใช้เยื่อรีไซเคิลและการนำบรรจุภัณฑ์กระดาษกลับมารีไซเคิลเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ที่นิยม: กล่องพัสดุ, กล่องกระดาษลูกฟูก, กล่องอาหารกระดาษ (Food Box), ชามกระดาษ, แก้วกระดาษ, ถุงกระดาษ, เยื่อกระดาษขึ้นรูปกันกระแทก (Molded Pulp)
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์เยื่อไม้และกระดาษ
คำถามที่ 1 เยื่อไม้ (Wood Pulp) กับ เยื่อกระดาษ (Paper Pulp) ต่างกันอย่างไร ?
คำตอบ : โดยทั่วไปมักใช้ในความหมายเดียวกัน คือ มวลของเส้นใยเซลลูโลสที่ได้จากการแปรรูปไม้หรือพืชอื่นๆ เพื่อนำไปผลิตกระดาษ แต่บางครั้ง “เยื่อไม้” อาจหมายถึงเยื่อที่ได้จากไม้โดยเฉพาะ ส่วน “เยื่อกระดาษ” อาจรวมถึงเยื่อที่ได้จากพืชอื่นหรือเยื่อรีไซเคิลด้วย
คำถามที่ 2 บรรจุภัณฑ์กระดาษทุกชนิดปลอดภัยสำหรับใส่อาหารหรือไม่ ?
คำตอบ : ไม่ทุกชนิด บรรจุภัณฑ์กระดาษที่สัมผัสอาหารโดยตรง ต้องเป็นเกรดสำหรับอาหาร (Food Grade) ซึ่งผลิตภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย ไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมีอันตรายหรือหมึกพิมพ์ และมักมีการเคลือบสารกันซึมที่ปลอดภัยด้วย ควรสังเกตสัญลักษณ์ Food Grade บนบรรจุภัณฑ์
คำถามที่ 3 บรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อย แตกต่างจากเยื่อไม้อย่างไร ?
คำตอบ : เยื่อชานอ้อยเป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมน้ำตาล เป็นวัตถุดิบที่ไม่ใช่ไม้ (Non-wood) การนำมาใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ช่วยลดการพึ่งพาทรัพยากรป่าไม้ มีคุณสมบัติย่อยสลายได้ดี และมักใช้ผลิตภาชนะใส่อาหาร เช่น จาน ชาม กล่องข้าว
คำถามที่ 4 กระบวนการผลิตเยื่อและกระดาษส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ?
คำตอบ : กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมอาจส่งผลกระทบ เช่น การใช้สารเคมีในการต้มและฟอกเยื่อ การใช้น้ำและพลังงานสูง แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมได้พัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การฟอกเยื่อแบบไร้คลอรีน (ECF/TCF), การบำบัดน้ำเสีย, การใช้พลังงานหมุนเวียน และการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน (เช่น การรับรอง FSC)
คำถามที่ 5 เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบรรจุภัณฑ์กระดาษที่ใช้มาจากแหล่งที่ยั่งยืน ?
คำตอบ : มองหาสัญลักษณ์รับรอง เช่น FSC (Forest Stewardship Council) ซึ่งบ่งบอกว่าไม้ที่นำมาผลิตมาจากป่าที่มีการจัดการอย่างรับผิดชอบ หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าผลิตจากเยื่อรีไซเคิล (Recycled Content)
สรุป
บรรจุภัณฑ์จากเยื่อไม้และกระดาษเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตสมัยใหม่ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการใช้งานและความยั่งยืน ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ปลูกทดแทนได้และกระบวนการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้เป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้การทำความเข้าใจถึงที่มา กระบวนการผลิต และคุณสมบัติ จะช่วยให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสมและมีส่วนร่วมในการดูแลโลกได้อย่างแท้จริง