สำหรับคนที่กำลังขายของออนไลน์ ปัญหาอีกอย่างที่ทราบกันดีนั่นก็คือการจัดส่งสินค้าและระบบขนส่งที่เราเลือกใช้บริการเพื่อส่งสินค้าให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งราคาของค่าขนส่งจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของสินค้าและ กล่องไปรษณีย์ ที่เราเลือก ดังนั้นการเลือกซื้อกล่องไปรษณีย์ในการส่งสินค้าของเราให้กับลูกค้าจึงมีความจำเป็นเช่นกัน โดยกล่องไปรษณีย์นั้นมีหลายหลายประเภท เช่น กล่องไปรษณีย์คราฟท์ สีขาว KS, กล่องไปรษณีย์สีน้ำตาลทอง KA, กล่องไปรษณีย์สีน้ำตาลธรรมชาติ KT เป็นต้น เหตุเพราะหากเราเลือกใบที่มีขนาดใหญ่มากเกินไป ก็ทำให้ต้นทุนการส่งสินค้าขึ้น แต่หากเราเลือกกล่องไปรษณีย์ที่เล็กเกินไป ก็จะมีผลทำให้ไม่สามารถรองรับสินค้าได้ เนื่องจากกล่องมีพื้นที่น้อยเกินไป ดังนั้นบทความนี้เราจะแนะนำการเลือกกล่องไปรษณีย์สำหรับการขายของออนไลน์ว่าควรเลือกแบบไหนได้บ้าง
วิธีเลือกให้ขนาดพอดีกับสินค้า
เราไม่จำเป็นว่าจะต้องหาอุปกรณ์ในการวัดขนาดสินค้าที่มีราคาแพง เพียงไปซื้อสายวัดรอบเอวมาวัดขนาดสินค้าก็เพียงพอแล้ว โดยให้เราเริ่มวัดเพื่อเก็บข้อมูลขนาดสินค้าตั้งแต่ความสูง ความกว้าง รวมทั้งความยาวของตัวสินค้าที่เราต้องการขายด้วยว่ามีขนาดเท่าไหร่ เหมาะสำหรับกล่องไปรษณีย์แบบไหน หากร้านของเราจำหน่ายสินค้าหลากหลายแบบ มีหลายขนาดหลายประเภท เราจะอาจจะเลือกสินค้าที่มีขนาดพอๆกับสินค้าส่วนใหญ่มาสักชิ้นเพื่อวัดขนาดและสั่งกล่องขนาดสำหรับสินค้าประเภทนั้นมาให้มากที่สุด โดยอาจจะสั่งกล่องขนาดเท่ากับสินค้าชิ้นใหญ่สุดมาสำรองเอาไว้บ้างเพื่อป้องกันปัญหาไม่มีกล่องใส่เมื่อลูกค้าสั่งซื้อของ
กล่องไปรษณีย์ที่ควรสั่งสำรองเอาไว้
กล่องไปรษณีย์ที่จะต้องสั่งมาสำรองเอาไว้เมื่อต้องการขายของออนไลน์นั่นก็คือกล่องเบอร์ C ซึ่งเหมาะสำหรับสินค้าส่วนใหญ่ที่คนนิยมนำมาขายออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทของใช้อย่างรองเท้า กระเป๋า หรือจะเป็นเสื้อผ้าก็สามารถใส่กล่องไปรษณีย์ชนิดนี้ได้หมด ดังนั้นถ้าคุณเปิดร้านค้าออนไลน์ ขอแนะนำเลยว่าจะต้องสั่งกล่องไปรษณีย์ประเภทนี้สำรองไว้ได้เลย เพราะไม่ว่าอย่างไรก็จำเป็นต้องหยิบมาใช้แน่ๆ
ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลือกกล่องแบบไหน
สำหรับร้านที่จำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การเลือกกล่องไปรษณีย์ไม่จำเป็นจะต้องเลือกกล่องใหญ่มาก เพราะสินค้าประเภทหูฟัง โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่สำรองนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าไหร่นัก เราจึงสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อกล่องไปรษณีย์อย่างมาก เพราะกล่องขนาดเล็กนั้นมีราคาที่แสนถูก ซึ่งกล่องไปรษณีย์ที่เราจะต้องซื้อเตรียมพร้อมเอาไว้นั่นก็คือกล่องเบอร์ 0 ซึ่งมีราคาต่อกล่องเพียง 1.95 บาทเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปซื้อกล่องขนาดใหญ่และมีราคาแพงเกินไป เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่มีขนาดที่เล็กมาก เราสามารถส่งให้กับลูกค้าโดยการบรรจุร่วมกับกระดาษหนังสือพิมพ์ ยิ่งกล่องมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้กระดาษหนังสือพิมพ์มากขึ้น ยิ่งทำให้ต้นทุนสิ้นเปลืองขึ้นไปอีก
ร้านขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง
สำหรับร้านค้าที่ขายอาหารเสริมและเครื่องสำอางนั้น กล่องไปรษณีย์ที่จะซื้อมาใช้ส่งของให้กับลูกค้าจะไม่ใช่กล่องไปรษณีย์รูปแบบอย่างที่กล่าวมา เพราะจะต้องเน้นที่ความสูงด้วย เพราะขวดอาหารเสริมมักจะสูง รวมทั้งครีมบำรุงผิวก็มีหลายแบบที่มีความสูงเช่นกัน ดังนั้นควรเลือกกล่องกระดาษเบอร์ 2B มาตุนเอาไว้เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถส่งสินค้าประเภทอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ ร้านที่ขายผลิตภัณฑ์พวกนี้จำเป็นที่จะต้องเลือกกล่องไปรษณีย์ที่มีจ่าหน้าเรียบร้อย เพราะร้านจะต้องสร้างภาพลักษณ์ให้ดูน่าเชื่อถือตั้งแต่อุปกรณ์ห่อหุ้มสินค้าที่จะจัดส่งให้กับลูกค้า หากเลือกกล่องที่ไม่มีมาตรฐาน ขาดการจ่าหน้าให้ดีก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของสินค้าของเราไม่ดีด้วย
เทคนิคเพิ่มเติมสำหรับคนที่ต้องการส่งสินค้าที่แตกหักง่ายหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คือเราจะต้องมีการป้องกันแรงกระแทกในระหว่างการขนส่ง นอกจากจะสั่งซื้อชุดโฟมมาใช้หรือซื้อกล่องที่กันกระแทก เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วยการนำเศษกระดาษมาใช้ทดแทน เพราะเศษกระดาษจำนวนมากที่ล้อมของที่เราต้องการส่งเอาไว้ในกล่อง จะช่วยให้เมื่อเกิดแรงกระแทกจากภายนอก จะทำให้ไม่กระทบกระเทือนต่อสินค้าที่เราจะส่ง ถ้าสินค้าที่เราต้องการขายเป็นสินค้าขนาดเล็ก เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้กล่องที่มีขนาดใหญ่มากเกินไป เพราะยิ่งกล่องมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องใช้ปริมาณเศษกระดาษมากันกระแทกมากเท่านั้น ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ร้านค้าออนไลน์สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อประหยัดเงินในการขนส่ง